หลวงพ่อสะอาดฯ ท่านเน้นย้ำว่า อานาปานสติ สามารถใช้ทำจิตให้เป็นสมาธิ ตั้งแต่ระดับต้นๆ จนถึงระดับสูงละเอียดยิ่งๆขึ้นไปได้, และ แม้ว่า อานาปานสติสูตร บาลี แปลไทย จะเป็นเรื่องที่มีการเรียนการสอนกันมากอยู่แล้ว ในหมู่ชาวพุทธผู้ใฝ่ศึกษาและปฏิบัติธรรม คือ มีหนังสือ มีเอกสาร รวบรวมประเด็น แง่มุมในการปฏิบัติ รวมถึงอานิสงส์ต่างๆ ของอานาปานสติกันมากอยู่แล้วก็ตาม, คณะศิษย์ผู้จัดทำฯ ก็ได้นำ อานาปานสติสูตร บาลี แปลไทย มาลงไว้ ณ ที่นี้ เป็นพิเศษอีกวาระหนึ่งด้วย
อานาปานสติสูตร
สูตรเต็ม อานาปานสังยุต–สังยุตตนิกาย–มหาวารวรรค
อานาปานสฺสติ ภิกฺขเว ภาวิตา พหุลีกตา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสา ฯ
ภิกษุทั้งหลาย ! อานาปานสติ อันบุคคลเจริญ กระทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่
กถํ ภาวิตา จ ภิกฺขเว อานาปานสฺสติ กถํ พหุลีกตา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสา ฯ
ก็อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้วอย่างไร กระทำให้มากแล้วอย่างไร จึงมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่
{ เตรียม }
อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ อรญฺญคโต วา รุกฺขมูลคโต วา สุญฺญาคารคโต วา
ภิกษุทั้งหลาย ! ในกรณีนี้ ภิกษุไปแล้วสู่ป่า หรือโคนไม้ หรือเรือนว่างก็ตาม
นิสีทติ ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา อุชุ ํ กายํ ปณิธาย ปริมุขํ สตึ อุปฏฺฐเปตฺวา ฯ
นั่งคู้ขาเข้ามาโดยรอบ ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า
โส สโตว อสฺสสติ สโต ปสฺสสติ ฯ
เธอนั้น มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก
{ กาย }
ทีฆํ วา อสฺสสนฺโต ทีฆํ อสฺสสามีติ ปชานาติ
ทีฆํ วา ปสฺสสนฺโต ทีฆํ ปสฺสสามีติ ปชานาติ ฯ
เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว
เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกยาว
รสฺสํ วา อสฺสสนฺโต รสฺสํ อสฺสสามีติ ปชานาติ
รสฺสํ วา ปสฺสสนฺโต รสฺสํ ปสฺสสามีติ ปชานาติ ฯ
เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น
เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกสั้น
สพฺพกายปฏิสํเวที อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ
สพฺพกายปฏิสํเวที ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ฯ
เธอย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
ว่า “เราจักเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจเข้า”
ว่า “เราจักเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจออก”
ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารํ อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ
ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารํ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ฯ
เธอย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
ว่า “เราจักเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับอยู่ หายใจเข้า”
ว่า “เราจักเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับอยู่ หายใจออก”
{ เวทนา }
ปีติปฏิสํเวที อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ
ปีติปฏิสํเวที ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ฯ
เธอย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
ว่า “เราจักเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ หายใจเข้า”
ว่า “เราจักเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ หายใจออก”
สุขปฏิสํเวที อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ
สุขปฏิสํเวที ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ฯ
เธอย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
ว่า “เราจักเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข หายใจเข้า”
ว่า “เราจักเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข หายใจออก”
จิตฺตสงฺขารปฏิสํเวที อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ
จิตฺตสงฺขารปฏิสํเวที ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ฯ
เธอย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
ว่า “เราจักเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจเข้า”
ว่า “เราจักเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจออก”
ปสฺสมฺภยํ จิตฺตสงฺขารํ อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ
ปสฺสมฺภยํ จิตฺตสงฺขารํ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ฯ
เธอย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
ว่า “เราจักเป็นผู้ทำจิตตสังขารให้รำงับอยู่ หายใจเข้า”
ว่า “เราจักเป็นผู้ทำจิตตสังขารให้รำงับอยู่ หายใจออก”
{ จิต }
จิตฺตปฏิสํเวที อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ
จิตฺตปฏิสํเวที ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ฯ
เธอย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
ว่า “เราจักเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต หายใจเข้า”
ว่า “เราจักเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต หายใจออก”
อภิปฺปโมทยํ จิตฺตํ อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ
อภิปฺปโมทยํ จิตฺตํ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ฯ
เธอย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
ว่า “เราจักเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ หายใจเข้า”
ว่า “เราจักเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ หายใจออก”
สมาทหํ จิตฺตํ อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ
สมาทหํ จิตฺตํ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ฯ
เธอย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
ว่า “เราจักเป็นผู้ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ หายใจเข้า”
ว่า “เราจักเป็นผู้ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ หายใจออก”
วิโมจยํ จิตฺตํ อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ
วิโมจยํ จิตฺตํ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ฯ
เธอย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
ว่า “เราจักเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ หายใจเข้า”
ว่า “เราจักเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ หายใจออก”
{ ธรรม }
อนิจฺจานุปสฺสี อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ
อนิจฺจานุปสฺสี ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ฯ
เธอย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
ว่า “เราจักเป็นผู้เห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ หายใจเข้า”
ว่า “เราจักเป็นผู้เห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ หายใจออก”
วิราคานุปสฺสี อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ
วิราคานุปสฺสี ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ฯ
เธอย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
ว่า “เราจักเป็นผู้เห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ หายใจเข้า”
ว่า “เราจักเป็นผู้เห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ หายใจออก”
นิโรธานุปสฺสี อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ
นิโรธานุปสฺสี ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ฯ
เธอย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
ว่า “เราจักเป็นผู้เห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ หายใจเข้า”
ว่า “เราจักเป็นผู้เห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ หายใจออก”
ปฏินิสฺสคฺคานุปสฺสี อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ
ปฏินิสฺสคฺคานุปสฺสี ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ฯ
เธอย่อมทำการฝึกฝนศึกษา
ว่า “เราจักเป็นผู้เห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ หายใจเข้า”
ว่า “เราจักเป็นผู้เห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ หายใจออก”
{ จบ }
เอวํ ภาวิตา โข ภิกฺขเว อานาปานสฺสติ เอวํ พหุลีกตา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสา ฯ
ภิกษุทั้งหลาย ! อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่.
ที่มา : อานาปานสติสูตร —สํ. ม. ๑๙ / [๑๓๑๑]–[๑๓๑๒] / ๓๙๖–๓๙๗.
หมายเหตุ : จากเชิงอรรถ พระไตรปิฏกฉบับมหาจุฬาฯ
ตามอรรถกถาพระสูตร อัสสาสะ หมายถึงหายใจเข้า ปัสสาสะ หมายถึงหายใจออก ( อสฺสาโสติ อนฺโตปวิสนนาสิกวาโต. ปสฺสาโสติ พหินิกฺขมนนาสิกวาโต. — ม.ม.อ. ๒/๓๐๕/๑๓๖ ) ส่วนอรรถกถาพระวินัยกลับกันคือ อัสสาสะ หมายถึงหายใจออก ปัสสาสะ หมายถึงหายใจเข้า ( อสฺสาโสติ พหินิกฺขมนวาโต. ปสฺสาโสติ อนฺโตปวิสนวาโต. — วิ.อ. ๑/๑๖๕/๔๔๖ )
หมายเหตุ : สำนวนแปลไทย
สำนวนแปลไทยของ อานาปานสติสูตร จากพระไตรปิฏกฉบับต่างๆ มีความใกล้เคียงกันมาก แทบจะเรียกได้ว่าเหมือนกัน มีต่างกันก็เพียงการลงรายละเอียดเล็กๆน้อยๆในเรื่องของการเลือกใช้คำไทย เช่น สิกฺขติ ซึ่งแปลว่า ย่อมศึกษา บางแห่งใช้ว่า ย่อมสำเหนียก เป็นต้น สำหรับสำนวนแปลที่นำมาลงในเวปนี้ ใช้จากฐานการแปลของท่านพุทธทาสภิกขุ ในผลงานชุดพระไตรปิฏกแปลไทยของท่าน ซึ่งมีอยู่ 5 เล่ม และเป็นที่รู้จักกันในชื่องานหนังสือพุทธโฆษณ์ชุดจากพระโอษฐ์
หมายเหตุ : การแสดงผลฟอนด์บาลีบนเวป
ตัวสูตรที่เป็นพระบาลีที่นำมาลงในที่นี้ นำมาจากต้นฉบับ–พระไตรปิฏกบาลีอักษรไทย–ฉบับสยามรัฐ และเมื่อเป็นการใช้งานเพื่ออ่านบนเวป จึงได้ใช้ตัวอักษร ญ–มีฐาน และ ฐ–มีฐาน แทนที่จะเป็นแบบไม่มีฐานตามแบบฉบับบาลีอักษรไทย ทั้งนี้ ก็เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานส่วนใหญ่เป็นหลัก ซึ่งโดยมากมักจะไม่มีฟอนด์ที่แสดงผลเฉพาะนั้นได้ ( สำหรับผู้ที่อยู่ในแวดวงศึกษาเฉพาะ ก็คงมีความเข้าใจในส่วนนี้อยู่แล้ว )